Ticker

6/recent/ticker-posts

“สูกรมัททวะ” พระกระยาหารมื้อสุดท้ายของพระพุทธเจ้า🥘

 “สูกรมัททวะ” พระกระยาหารมื้อสุดท้ายของพระพุทธเจ้า🥘


#สูกรมัททวะ

เป็นปัจฉิมบิณฑบาต หรืออาหารมื้อสุดท้ายที่พระโคตมพุทธเจ้าเสวยก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน ซึ่งเป็นอาหารที่นายจุนทะกัมมารบุตร ผู้มีอาชีพเป็นช่างทองและเป็นพุทธมามกะผู้เลื่อมใสในเมืองปาวา แคว้นมัลละ ได้ถวายแด่พระองค์

🙇‍♂️🙇‍♂️🙇‍♂️

​แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะถูกบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกอย่างชัดเจน แต่ความหมายที่แท้จริงของคำว่า "สูกรมัททวะ" ได้กลายเป็นประเด็นถกเถียงและตีความที่หลากหลายมานานหลายศตวรรษในหมู่พุทธศาสนิกชน โดยสามารถแบ่งแนวทางการตีความหลักๆ ได้ดังนี้

​1. เนื้อสุกรอ่อน

การตีความนี้เป็นการแปลตามรากศัพท์ภาษาบาลีโดยตรงว่า "สูกร" (หมู) และ "มัททวะ" (อ่อนนุ่ม) ซึ่งสอดคล้องกับมติของอรรถกถาโบราณที่ระบุว่าเป็น "ปวัตตมังสะ" (เนื้อที่ขายในตลาด) ของสุกรที่โตเต็มที่แต่ไม่แก่เกินไป การตีความนี้เป็นที่นิยมและแพร่หลายในนิกายเถรวาท 


​2. พืชหรือเห็ด

เพื่อหลีกเลี่ยงข้อขัดแย้งเกี่ยวกับหลักการบริโภคเนื้อสัตว์ในบางนิกาย โดยเฉพาะนิกายมหายานที่มีหลักการกินมังสวิรัติ จึงมีการตีความว่า "สูกรมัททวะ" อาจเป็นพืชชนิดหนึ่ง เช่น หน่อไม้ที่สุกรไปแทะดุน หรือเป็นเห็ดชนิดหนึ่งที่เติบโตในบริเวณที่สุกรไปคุ้ยเขี่ย ซึ่งในคัมภีร์ฝ่ายมหายานบางฉบับยังระบุว่าเป็นเห็ดชนิดที่เกิดจากไม้จันทร์ 


​3. ยาบำรุงหรืออาหารทิพย์

นี่เป็นอีกหนึ่งแนวคิดที่ได้รับความสนใจ โดยมองว่า "สูกรมัททวะ" ไม่ใช่อาหารธรรมดา แต่เป็นยาบำรุงกำลังที่นายจุนทะปรุงขึ้นตามหลัก "รสายนวิธี" ซึ่งเป็นศาสตร์เกี่ยวกับยาอายุวัฒนะในคัมภีร์โบราณ เหตุผลที่สนับสนุนแนวคิดนี้คือ พระพุทธเจ้าทรงสั่งให้ฝังอาหารที่เหลือ โดยตรัสว่าไม่มีใครในโลกนี้แม้แต่เทวดาก็ไม่สามารถย่อยอาหารนี้ได้ นอกจากพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอาหารนี้มีคุณสมบัติพิเศษเหนืออาหารทั่วไป และบางแหล่งข้อมูลยังระบุว่าอาหารนี้อาจช่วยให้พระองค์มีกำลังมากพอที่จะเดินทางต่อไปยังเมืองกุสินาราได้สำเร็จ ​


หลังจากเสวย "สูกรมัททวะ" แล้ว พระพุทธเจ้าทรงมีพระอาการประชวรอย่างรุนแรงด้วยพระโรคประจำตัวคือ "ปักขันทิกาพาธ" ซึ่งมีอาการถ่ายเป็นโลหิต อย่างไรก็ตาม นักวิชาการส่วนใหญ่ชี้ว่า "สูกรมัททวะ" ไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรงของการปรินิพพาน แต่เป็นเพียง "ปัจจัยกระตุ้น" ที่ทำให้พระโรคประจำตัวที่สะสมมานานปะทุขึ้นในวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพ 


การปรินิพพานของพระพุทธเจ้าในที่สุดนั้นอธิบายได้ด้วย "บุพกรรม" หรือกรรมเก่าที่พระองค์ทรงเคยทำไว้ในอดีตชาติ 


​เหตุการณ์นี้มีความสำคัญทางธรรมอย่างยิ่ง เพราะพระพุทธเจ้าทรงตรัสให้พระอานนท์ไปบอกนายจุนทะว่าไม่ต้องเสียใจหรือรู้สึกผิด พร้อมทั้งตรัสว่าภัตตาหารของนายจุนทะมีอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่และเสมอกันกับข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดาถวายก่อนที่พระองค์จะตรัสรู้ ซึ่งการถวายทั้งสองครั้งนี้จึงถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้พระพุทธเจ้าได้บรรลุภารกิจอันยิ่งใหญ่ในการดำรงอยู่และการเสด็จจากไปอย่างสมบูรณ์ 


เพจ The Earth

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น