เหตุการณ์ประท้วงรุนแรงในเนปาล ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 22 ราย และบาดเจ็บไม่ต่ำกว่า 200 คน อีกทั้งยังมีภาพการเผาอาคารรัฐสภา สถานที่ราชการ สถานีตำรวจ ห้างร้าน และโรงแรม รวมไปถึงการเผาที่พักและทำร้ายนักการเมืองที่พวกเขาไม่พอใจ จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าการประท้วงได้ข้ามเส้นการเรียกร้องที่เหมาะสมไปแล้วหรือไม่? ชาวเนปาลทำเกินไปไหม?
ทีมข่าว Spotlight ได้พูดคุยกับประธานสมาคมชาวเนปาลโพ้นทะเลในไทย (Non-Resident Nepali Assocation: NRNA) คุณอัสสชิตะ อวาเล (ธันวา) ซึ่งเป็นทั้งอดีตผู้สื่อข่าวในประเทศไทย และเจ้าของร้านอาหารเนปาลในเมืองไทยมาหลายสิบปี ชวนมาเปิดมุมมองหลากหลายประเด็นที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ประท้วงครั้งใหญ่ ตั้งแต่สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนการประท้วง ไปจนถึงอนาคตตัวเต็งนายกรัฐมนตรีคนใหม่
มองเรื่อง “การเผาไปทั่ว” อย่างไร?
คุณอัสสชิตะ เปิดเผยว่า แม้จะไม่เห็นด้วยกับการเผาทำลายสถานที่ต่าง ๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเสียหายเหล่านี้ได้เกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะวันที่ 8 - 9 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งสถานการณ์ตึงเครียดมากที่สุด กลุ่มผู้ประท้วงส่วนใหญ่รุมเผาอาคารรัฐสภา บ้านพักนักการเมือง และสถานีตำรวจหลายแห่ง เนื่องจากเป็นการระบายความโกรธแค้น ที่รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ปราบปรามเยาวชนผู้ออกมาประท้วงอย่างสันติในตอนแรก แต่กลับถูกยิงเสียชีวิตถึง 22 ราย
หลังจากนั้น เหตุจลาจลยกระดับรุนแรงขึ้นและขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว มีรายงานว่า สถานที่ทางราชการหลายแห่งถูกเผาทำลายเช่นกัน แต่ตนตั้งข้อสังเกตว่า มีความเป็นไปได้ที่ “กลุ่มคนที่ 3” ได้เข้ามาฉกฉวยโอกาสเพื่อผลประโยชน์ของพวกพ้อง เช่น การเผาทำลายสำนักงานกรมที่ดิน พบว่าเอกสารเกี่ยวกับที่ดินหลายฉบับถูกเผาทำลาย อาจเป็นการทำลายหลักฐานที่จะเอาผิดนักการเมืองกลุ่มอำนาจเดิมได้ เนื่องจากมีนักการเมืองหลายคนที่พัวพันคดีทุจริตที่ดินรัฐในเนปาล
รวมไปถึงการเผาที่ทำการศาล และพระราชวังสิงห์ ดูร์บาร์(Singha Durbar) ในกรุงกาฐมาณฑุ ก็พบว่าเอกสารที่ดินเกี่ยวกับชายแดน เขียนโดยอังกฤษและฝรั่งเศสหลายฉบับถูกทำลาย รวมถึงเอกสารเกี่ยวกับการตัดสินคดีทุจริตต่าง ๆ ของนักการเมืองด้วย
ทั้งนี้ กลุ่มผู้ประท้วงซึ่งเป็นเยาวชนเริ่มต้นเดินขบวนอย่างสงบ ด้วยข้อเรียกร้องเพียง 2 ประการ คือต้องการให้ยกเลิกกฎหมายแบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นเครื่องมือทำมาหากินของชาวบ้าน และการถอนตัวของนายกรัฐมนตรีเค.พี. ชาร์มา โอลี พร้อมคณะ เพื่อเปลี่ยนแปลงการจัดตั้งรัฐบาลและกำจัดนักการเมืองซึ่งอยู่ในตำแหน่งอย่างไม่โปร่งใส เมื่ออดีตนายกรัฐมนตรียอมก้าวลงจากตำแหน่ง มีการรณรงค์ให้ประชาชนออกมาช่วยกันทำความสะอาดท้องถนน เพื่อพาบ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
บทบาททหารท่ามกลางเหตุจลาจล
เมื่อถามถึงบทบาทของทหารเนปาลว่า อาจจะเป็นอีกหนึ่งผู้ฉกฉวยโอกาสที่จะเข้ามาควบคุมสถานกาณ์และกำหนดทิศทางการเมืองของประเทศหรือไม่? คุณอัสสชิตะอธิบายว่า กองทัพในเนปาลเข้ามาช่วยควบคุมสถานการณ์มากกว่า ด้านหนึ่งคือการให้ความปลอดภัยแก่ผู้ประท้วง ปกป้องทรัพย์สินทางราชการให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด แต่อีกฝั่งหนึ่งก็ให้ความปลอดภัยกับบรรดานักการเมืองที่ถูกไล่ล่า เผาบ้านเรือน และถูกทำร้ายร่างกาย
สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ว่า กองทัพเนปาล ได้ประกาศเคอร์ฟิวโดยไม่มีกำหนดในกรุงกาฐมาณฑุ เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบ อีกทั้งยังเปิดพื้นที่ให้แกนนำกลุ่มผู้ประท้วงเจรจาเพื่อหาข้อยุติโดยเร็วที่สุด
คุณอัสสชิตะกล่าวว่า ตอนนี้ถ้าคนเนปาลจะตามข่าวความเคลื่อนไหวใด ๆ ในประเทศ แหล่งข่าวจากกองทัพนับว่ามีความน่าเชื่อถือมากที่สุดในตอนนี้ ดังนั้น ในมุมมองที่ว่าทหารจะเข้ามายึดอำนาจหรือไม่นั้น ยังไม่ได้เป็นที่ถกเถียงกันในเนปาลขณะนี้
อนาคตเนปาลไปต่ออย่างไร?
หลังจากที่นายกรัฐมนตรีเค.พี. ชาร์มา โอลี ประกาศลาออก กลุ่มผู้ประท้วงได้เสนอชื่ออดีตประธานศาลฎีกาหญิง "สุชิลา การ์กี" (Sushila Karki) เป็นนายกรัฐมนตรีเฉพาะกาล คุณอัสสชิตะเปิดเผยว่า อดีตอัยการหญิงคนแรกของเนปาล ขณะนี้อายุ 73 ปีแล้ว แต่เธอได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มผู้ประท้วงและประชาชนส่วนใหญ่ ให้ดำรงตำแหน่งนี้ เพื่อมาทำหน้าที่จัดแจงระบบการเลือกผู้นำให้มีความยุติธรรมและโปร่งใสมากขึ้น
ประชาชนมองว่าสุชิลา การ์กี ยืนเคียงข้างฝั่งประชาชนมาโดยตลอด ในอดีตเธอเคยนั่งในศาลเพื่อตัดสินคดีทุจริตนักการเมืองชาวเนปาล แต่ด้วยความยุติธรรมและเถรตรงต่อหน้าที่ ผลตอบแทนคือเธอถูกกีดกันออกจากระบบยุติธรรมในประเทศ ในภาวะสุญญากาศทางการเมืองเช่นนี้ เธอจึงถูกวางตัวให้ก้าวขึ้นมาสร้างระบบใหม่ และยุบสภาเพื่อปูทางให้นายกรัฐมนตรีตัวเต็งคนต่อไป
0 ความคิดเห็น